ผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง

           งานวิจัยผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดในสมองในผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง 2) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดในผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง 3) เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงก่อนใช้และหลังใช้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มารับบริการ ในศูนย์อนามัยที่ 11 นครศรีธรรมราช โดยใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 30 คน การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษากึ่งทดลอง (one group pretest - posttest design) แบบกลุ่มเดียววัดก่อน-หลังโดยผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ผลการวิจัย พบว่า ข้อมูลส่วนบุคคลคลของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 73.3 มีอายุ 41 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 83.3 ระดับการศึกษา มัธยมศึกษาตอนปลายหรือ ปวช.อนุปริญญาหรือ ปวส. และปริญญาตรีหรือเทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 33.3 เท่ากัน มีสถานภาพสมรสแล้วอยู่ด้วยกัน คิดเป็นร้อยละ 80.0 มีอาชีพรับจ้าง คิดเป็นร้อยละ 63.3 ผลการศึกษาระดับความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดในสมองในผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง พบว่า ระดับความรู้ก่อนใช้โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนระดับความรู้หลังใช้โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี ผลการศึกษาระดับพฤติกรรมป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดในผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงระดับพฤติกรรมก่อนใช้โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนระดับพฤติกรรมหลังใช้โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี และผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงก่อนใช้และหลังใช้พบว่า ด้านความรู้และพฤติกรรมหลังใช้โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสูงกว่าก่อนใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01

นางสุภาพร  ศรีอุทัย

พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ